6.เคล็ดลับการดูแลผิวหน้าให้ห่างไกลจากฝ้า

เมื่อฝ้ามาเยือน ไม่ใช่แค่การฝากร่องรอยที่น่าอับอายไว้บนหน้า แต่ยังหมายถึงสัญญาณเตือนว่าผิวโดนทำร้ายอย่างหนัก โดยทั่วไปทุกคนมีผิวที่เสี่ยงต่อการเกิดฝ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากความผันผวนของฮอร์โมน,พันธุกรรม, ผู้ที่ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นเซลล์ผิวในการสร้างเม็ดสี หรือการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน รวมถึงแสงจากแท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือด้วยเช่นกัน แม้จะรักษาได้ แต่ก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีก เน้นที่การดูแลผิวหน้าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เคล็ดลับที่นำมาฝากกันนี้สามารถทำได้ง่ายและช่วยให้ผิวหน้าห่างไกลจากฝ้าได้

1.ไม่ยอมออกจากบ้านเด็ดขาด หากขาดครีมกันแดด

นี่ถือเป็นกฎเหล็กที่แพทย์ผิวหนัง รวมไปถึงผู้หญิงหลายคนที่มีใบหน้าสวยใสปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด อย่างที่รู้กันดีว่าอันตรายจากแสงแดดส่งผลต่อผิวหน้าอย่างไร ควรเลี่ยงแสงแดดจ้าโดยเฉพาะเวลา 9.00 – 16.00 น. เป็นช่วงเวลาที่มีค่ารังสี UV เข้มข้นมากที่สุด เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป หากต้องเจอแสงแดดเป็นเวลานานให้เลือกค่า SPF ที่สูงขึ้นมาหน่อย ต้องมีค่า PA+++ เพื่อป้องกันรังสี UVA และ UVB แม้แต่วันฝนพร่ำ เมฆมาก ไม่มีแสงแดดจัดก็ต้องทา สำหรับสาวๆคนไหนที่ทำงานในที่ร่ม แต่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะอุปกรณ์เหล่านี้มีแสงสีฟ้า (blue light) ที่ไม่ได้ทำร้ายแค่สายตาเท่านั้น แต่เป็นตัวการทำลายใบหน้าให้หมองคล้ำและเหี่ยวย่น เนื่องมาจากขาดความชุ่มชื่น ซึ่งปัญหาที่ตามมาก็คือ เกิดสิว ฝ้า กระ แบบไม่รู้ตัว คุณสมบัติของครีมกันแดดที่ดีควรมีคือ ช่วยปกป้องรังสีหรือแสงต่างๆ อีกทั้งยังช่วยบำรุงให้ผิวกลับมาสุขภาพดี ชะลอริ้วรอยก่อนวัย เมื่อทาแล้วใบหน้าต้องดูกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ

2.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว

การดูแลผิวจากภายใน เป็นการช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดี เริ่มต้นจากการเลือกอาหาร หรืออาจทานวิตามินเสริม ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานร่างกายที่ต่างกันออกไป กลุ่มวิตามินที่เน้นเรื่องผิวคือ A C และE

  • วิตามินเอ ชะลอความแก่ ช่วยลดการอักเสบของสิว และยังมีความสามารถในการลดจุดด่างดำได้
  • วิตามินซี เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างคอลลาเจน มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย ผิวดูสว่าง สดใส ไม่หมองคล้ำ ป้องกันผิวไหม้จากการโดนแดด
  • วิตามินอี ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว ซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรงขึ้น

 

3.มาส์กหน้าบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ

การมาส์กหน้าเป็นประจำ ไม่ว่าจะทำเองที่บ้านหรือตามคลินิกเสริมความงาม จะเป็นการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าให้เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสกว่าเดิม ทั้งยังช่วยบำรุงผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

 

4.ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยลดฝ้าได้

เมื่อการทำงานของระบบภายในร่างกายมีประสิทธิภาพก็สามารถรับมือกับปัญหาผิวได้ดี พร้อมทั้งเป็นการขับสารพิษออกจากร่างกาย ผิวที่มีความชุ่มชื่นอิ่มน้ำ จะช่วยลดการเสียดทานของผิว ที่ทำให้เกิดริ้วรอยแถมช่วยให้รอยฝ้า กระ จุดด่างดำ ความหมองคล้ำบนใบหน้าจางลงได้

5.ลดความเครียด ลดฝ้า

ความเครียด วายร้ายที่ทำลายทุกอย่าง ทำให้สมดุลฮอร์โมนในร่างกายไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ เมื่อรู้สึกเครียดมากๆ ภายในร่างกายจะเกิดอนุมูลอิสระจำนวนมาก ฮอร์โมนในเลือดที่กระตุ้นเมลานินก็จะหลั่งออกมา เพื่อไปกระตุ้นเมลาโนไซต์ให้ทำงาน จนเกิดสะสมกลายเป็นฝ้าหรือทำให้สีของฝ้าที่เป็นอยู่แล้วเข้มขึ้นกว่าเดิม

6.ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง

สังเกตการเปลี่ยนแปลงรวมถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นบนใบหน้า และหมั่นปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นประจำ เพื่อได้รับคำแนะนำในการป้องกัน ประเมินสถานการณ์ และทำการรักษาที่ดีที่สุด ยิ่งดูแลเร็วเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสที่จะหายได้ง่ายกว่า แถมยังเปลืองเงิน และเสียเวลาน้อยกว่าอีกด้วย

การดูแลผิวให้ห่างไกลฝ้า ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินกว่าจะกระทำได้ อยู่ที่ว่ามีวินัยและความใส่ใจมากน้อยแค่ไหน อย่าลืมว่าเมื่อเป็นฝ้าแล้ว ต้องใช้เวลาในการรักษาที่ค่อนข้างนาน และอาจมีผลข้างเคียงที่ตามมา ดังนั้นควรเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนนี้จึงจะดีที่สุด

 

 

Leave a Reply