5 สาเหตุที่ทาครีมบำรุงแล้วไม่เห็นผล

การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่ดี เป็นส่วนหนึ่งของการบำรุงผิวในชีวิตประจำวัน ด้วยขั้นตอนที่แสนง่าย และหาซื้อได้ไม่ยาก ยิ่งเริ่มดูแลเร็วเท่าไร ยิ่งเห็นผลเร็วและเป็นการปกป้องผิวได้นานขึ้นเท่านั้น แต่มีบางครั้งที่รู้สึกว่าการทาครีมกลับไม่ส่งผลตามที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่หลายคนใช้แล้วเห็นผลดี หากตัดปัจจัยในเรื่องความแตกต่างของสภาพผิวแต่บุคคลออกไป มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกิดความผิดพลาดบางอย่างที่ทำให้การทาครีมบำรุงไม่เห็นผลสักที มาดูว่าสาเหตุที่ว่ามีอะไรบ้าง

1.เลือกครีมไม่เหมาะกับสภาพผิว

ข้อผิดพลาดนี้นอกจากจะทาครีมแล้วไม่เห็นผล อาจจะส่งผลเสียให้แก่ผิวโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน เช่น หากสภาพผิวมัน รูขุมขนกว้าง ผิวหยาบ เนื่องจากปัญหาผิวขาดน้ำ แต่กลับไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง การใช้ครีมบำรุงที่ช่วยลดความมันส่วนเกิน แต่ไม่เติมความชุ่มชื่นให้ผิวจะทำให้ผิวยิ่งผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น เสี่ยงต่อการอุดตันรูขุมขน ที่ง่ายต่อการเกิดสิว หรือ ผิวธรรมดาแต่ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวมัน จะทำให้ความมันที่หล่อเลี้ยงผิวหายไป ใช้แล้วจะเกิดปัญหาผิวแห้งตามมา

2.วิธีการเก็บรักษาครีมบำรุงไม่ถูกต้อง

ตามที่ข้างฉลากสินค้ามักจะเขียนบอกไว้เสมอว่า ไม่ควรเก็บครีมในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง เพราะรังสียูวีจะทำให้สารต้านอนุมูลอิสระเสื่อมสภาพ แม้แต่ตัวบรรจุภัณฑ์เองก็เช่นกัน ต้องออกแบบมาให้สอดคล้องกับการใช้งาน เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินซี ไม่ควรอยู่ในรูปแบบกระปุก ต้องเป็นขวดปั๊มแบบสุญญากาศ เนื่องจากเมื่อเปิดฝากระปุก มีโอกาสสูงที่เนื้อครีมจะสัมผัสกับอากาศ ทำให้ประสิทธิภาพของวิตามินซีลดลงหรือเสื่อมสภาพได้

3.ครีมบำรุงผิวที่ใช้ไม่มีประสิทธิภาพ

ตรงนี้เราสามารถเลือกได้ตั้งแต่แรกก่อนตัดสินใจในการซื้อครีมบำรุง ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดมีตั้งแต่ ราคาที่ถูก แบรนด์ที่ไม่มีคุณภาพ ส่งผลให้ปริมาณสารสำคัญในการออกฤทธิ์ต่อผิวมีน้อยเกินไป เช่น ครีมที่มีการระบุว่าใส่สารต้านอนุมูลอิสระลงไป แต่เมื่อเทียบกับราคาพบว่าถูกมาก หรืออาจเป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้นตลาดล่าง ไม่ใช่ว่าครีมบำรุงไม่มีสารตัวดังกล่าวแต่เปอร์เซ็นต์ที่ใส่นั้นน้อยมาก จนแทบไม่ส่งผลอะไรเลย ดังนั้นการเลือกครีม ควรเป็นส่วนผสมที่ดี และใส่ในปริมาณที่เหมาะสม ใช้แล้วเห็นผลจริง

4.ครีมไม่ซึมเข้าสู่ผิว

ช่างน่าเสียดายหากซื้อครีมบำรุงที่ดีมาใช้แต่ ไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ สิ่งสำคัญอันดับแรกก่อนทาครีมบำรุงที่ถูกต้องคือ การทำความสะอาดผิวหน้าให้พร้อมก่อน ห้ามทาครีมในขณะที่ผิวเต็มไปด้วยเหงื่อ สิ่งสกปรก หรือความมันส่วนเกินต่างๆ เพราะครีมบำรุงไม่มีทางที่จะซึมซาบและเข้าไปดูแลผิวได้เลย ช่วงนาทีทองคือหลังล้างหน้าเสร็จใหม่ๆ ผิวหนังจะเก็บความชุ่มชื่นเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องเช็ดหน้าให้แห้งสนิท เอาแค่พอหมาดๆ เพราะน้ำในผิวจะเป็นตัวช่วยนำครีมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น จึงควรรีบทาครีมบำรุงภายในเวลา 5-10 นาที เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื่นให้แก่ผิวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การทาครีมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผิวนุ่ม เรียบเนียน ปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำได้ยาวนานขึ้น รวมถึงผิวที่เต็มไปด้วยเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ ควรขัดผิว หรือผลัดเซลล์ผิวสัปดาห์ละครั้ง เพื่อที่จะให้ครีมซึมเข้าผิวได้ง่ายขึ้น

5.ทาครีมทับกันหลายตัว โดยหวังว่าจะครอบคลุมการดูแลทั้งหมด

การทาครีมหลายตัวไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่การลงตามขั้นตอนให้ถูกคือสิ่งที่ควรคำนึง เริ่มต้นใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ซึมได้ง่าย มีเนื้อบางเบาก่อน เช่น เซรั่ม อิมัลชั่น หรือบรรดาน้ำตบทั้งหลาย แล้วค่อยไล่ครีมบำรุงตัวอื่นตามไป แต่ต้องเว้นระยะให้เนื้อครีมซึมลงสู่ผิว แล้วจึงตามด้วยตัวอื่นๆ และควรเลือกครีมแค่อย่างละตัวก็พอ เช่น อยากมีผิวหน้ากระจ่างใส อาจเลือกใช่เซรั่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี ไม่จำเป็นต้องโบกครีมในกลุ่มไวเทนนิ่งตัวอื่นทับเข้าไปอีกรอบ ลองเลือกใช้มอยเจอร์เซอร์หรือครีมที่มีส่วนผสมอย่างกรดไฮยาลูรอนิกเป็นการปิดท้าย จะเป็นการช่วยกักเก็บความชุ่มชื่น เสริมเกราะความแข็งแรงให้แก่ผิว

หากต้องการให้การดูแลผิวได้ผลมากที่สุด คงต้องเริ่มตั้งแต่การการเตรียมผิว ไปจนถึงการเลือกครีมที่มีคุณภาพ ไม่จำเป็นต้องราคาแพง แค่ใช้แล้วเห็นผลเป็นที่พึงพอใจ ช่วยให้ผิวดีขึ้นก็ถือว่าสำเร็จตามที่หวังไว้

Leave a Reply