3 เหตุผลที่สาวๆควรใช้เซรั่มในการบำรุงผิว

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีหลากหลายกลุ่มในการออกฤทธิ์ตั้งแต่ กลุ่ม Whitening, กลุ่ม Anti-aging และกลุ่ม Acne แต่ละชนิดถูกออกแบบมาให้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ผู้มีปัญหาผิวส่วนใหญ่ต้องการ แตกต่างกันในเรื่องเนื้อสัมผัสเพื่อตอบโจทย์ให้เข้ากับสภาพผิว เช่น เนื้อครีมเข้มข้นเหมาะสำหรับผิวแห้ง โลชั่นเนื้อบางเบาเหมาะสำหรับผิวมัน แต่ที่มาแรงและได้รับการขนานนามว่าเป็นสุดยอดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนั่นคือ เซรั่ม ลองมาทำความรู้จักกันดู แล้วจะรู้ว่าดีอย่างไร

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดเซรั่ม คืออะไร

เป็นรูปแบบหนึ่งของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แตกต่างตรงที่เซรั่มจะมีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ (Active Ingredients)  มากกว่าผลิตภัณฑ์บำรุงแบบอื่น มีเนื้อสัมผัสที่บางเบากว่าครีมและโลชั่น เพราะส่วนใหญ่มีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก (water-based)  เนื้อเซรั่มจะมีทั้งที่เป็นแบบเจลหรืออิมัลชั่น มีโมเลกุลขนาดเล็กที่เบากว่าครีม ซึ่งเมื่อทาลงผิวแล้วไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ ซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว จึงมีราคาแพงกว่าครีมบำรุงทั่วไป

ความแตกต่างระหว่างเซรั่มกับมอยเจอร์ไรเซอร์

มอยเจอร์ไรเซอร์เป็นเหมือนเกราะป้องกันผิวจากมลภาวะภายนอก ช่วยกักเก็บความชุ่มชื่นให้ผิว ต้องสามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีที่อยู่ในแสงแดดได้ ในขณะที่เซรั่มมีเนื้อบางบางกว่า  สารออกฤทธิ์เข้มข้นแต่ซึมเข้าสู่ผิวโดยตรง มุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพของการแก้ไขปัญหาผิว หากใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งสองประเภทร่วมกันจะช่วยผสานกำลังในการบำรุงอย่างล้ำลึก ดังนั้นการลงเซรั่มก่อนแล้วจึงตามด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ทำให้ผิวได้รับการปรนนิบัติที่ดียิ่งขึ้น

3 เหตุผลที่ควรใช้เซรั่มในการบำรุงผิว

  1. มีส่วนผสมที่เข้มข้นกว่า

แค่การบำรุงด้วยการทาครีมทั่วไปอาจไม่พอสำหรับปัญหาผิวอย่าง ริ้วรอย จุดด่างดำ สิว รอยสิว ความหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ เพราะเซรั่มเหมาะสำหรับการแก้ไขปัยหาเฉพาะจุด ด้วยปริมาณของ Active Ingredients ที่เหมาะสม เมื่อใช้แล้วเห็นผลจริง ลองเลือกส่วนผสมเหล่านี้เป็นตัวช่วยสำหรับผิว

  • วิตามินซี เรตินอล และกรดซาลิไซลิก เหมาะสำหรับผิวที่เป็นสิว ช่วยลดการอักเสบ เรตินอลและกรดซาลิไซลิก ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน ส่วนวิตามินซีมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องความกระจ่างใส
  • กรดไฮยาลูรอนิก เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง และผิวขาดน้ำ ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยโอบอุ้มน้ำไว้ได้มาก ผิวจึงดูยืดหยุ่นและฉ่ำน้ำ
  • ชาเขียวและกรดเฟอรูลิก เหมาะสำหรับผิวหมองคล้ำ ชาเขียวจะให้ความรู้สึกสดชื่นแก่ผิว ส่วนกรดเฟอรูลิกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ป้องกันกระบวนการทำลายผิวจากรังสี UVB
  1. คุ้มค่ากว่าเมื่อเปรียบเทียบปริมาณที่ได้กับราคาที่จ่าย

แม้จะมีราคาที่ค่อนข้างแพงกว่าครีมบำรุงทั่วไป แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับปริมาณ และความถี่ที่สามารถใช้ได้บ่อยครั้งกว่า การใช้เซรั่มช่วยประหยัดเงินได้ ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบขวดที่ถูกออกแบบมาให้ใช้ได้ในปริมาณที่น้อย เช่น ขวดปั๊มสุญญากาศที่กดครั้งเดียวก็เพียงพอต่อการใช้ทั่วทั้งใบหน้า ไม่จำเป็นต้องทาเยอะเกินไป บางขวดใช้ได้นานถึง 2 เดือน ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้เยอะ

  1. เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

โดยเฉพาะผิวขาดน้ำที่ต้องการตัวช่วยเสริม สามารถปลอบประโลมผิวแห้งและผิวขาดน้ำ รักษาความสมดุลของระดับความชุ่มชื่นในผิว ด้วยความที่ซึมเข้าสูผิวเร็ว จึงมีโอกาสน้อยที่ก่อให้เกิดการอุดตัวของรูขุมขน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิว ใช้แล้วไม่ต้องคอยกังวลว่าสิวจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ส่วนสภาพผิวมัน เนื้อที่บางเบาของเซรั่ม จะซึมได้เร็ว ไม่ใช่แค่การเคลือบผิว จึงไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะไว้บนหน้า และเซรั่มบางตัวกระตุ้นการสร้างความชุ่มชื่นให้ผิว พร้อมให้ความรู้สึกสบายผิว

การเลือกใช้เซรั่มมีข้อดีตรงที่ไม่ว่าจะมีสภาพผิวแบบใดก็สามารถใช้ได้ แต่ความยากอยู่ตรงที่การเฟ้นหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ ช่วยแก้ไขปัญหา และเสริมสร้างสุขภาพผิวให้ดีขึ้น อย่าลืมที่จะใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดอื่นควบคู่กันไป อย่างเช่นครีมกันแดดที่จะขาดไม่ได้เลยสำหรับชีวิตประจำวัน ไหนๆก็ต้องการดูแลผิวอย่างเต็มที่แล้ว ก็ควรที่จะปกป้องผิวด้วยเช่นกัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลา และเสียเงินไปกับการดูแลผิวมากเกินไป

Leave a Reply