เมโสหน้าใสคืออะไร ทำแล้วหน้าใสจริงหรือ

เทคโนโลยีทางด้านความงามได้ถูกคิดค้นเพื่อตอบสนองต่อปัญหาของสาวๆไม่ว่าจะกี่ยุคสมัย เทรนความงามแม้จะเปลี่ยนแปลงไป แต่ใบหน้าที่ดูเนียนใสถือเป็นสุดยอดปรารถนาที่หลายคนใฝ่ฝัน ไม่ว่าจะมีสีผิวแบบใดแต่ขอให้มีสภาพผิวหน้าที่ดีเป็นอันว่าใช้ได้ หลากวิธีที่พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่กระบวนการง่ายๆในการดูแลผิวที่สามารถทำได้เองไปจนถึงกระบวนการที่ต้องอาศัยเทคนิคที่ซับซ้อนขึ้นโดยฝีมือของแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ หนึ่งในนั้นคือการทำ เมโสหน้าใส ซึ่งเป็นที่กล่าวขานในไทยนานพอสมควร และมีให้เห็นแทบทุกคลินิกเสริมความงาม มีขั้นตอนอย่างไร ทำแล้วหน้าใสหรือไม่ มาหาคำตอบกันค่ะ

กำเนิด “เมโส”

คำว่าเมโส เป็นชื่อเรียกอย่างย่อของคำว่า “เมโสเทอราปี” (Mesotherapy) หลักการคือใช้เข็มเล็กๆฉีดตัวยาเข้าไปใต้ผิวชั้นใน (Mesoderm) หรือชั้นหนังแท้ ถูกคิดค้นโดย Dr. Michel Pistor แพทย์ชาวฝรั่งเศส เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1952 แต่เดิมใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบ ข้ออักเสบ ปวดหัวจากไมเกรน คลายกล้ามเนื้อ หลังจากนั้นมีการพัฒนาเพื่อแนวทางการรักษาด้านอื่น จนได้รับความนิยมในยุโรป สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆทั่วโลก มีวัตถุประสงค์ในการรักษาแตกต่างกันไป เช่น เพื่อลดไขมันส่วนเกิน ลดริ้วรอย ผิวหน้าหมองคล้ำ รวมถึงการรักษาผมร่วง

เมโสหน้าใส คืออะไร

เป็นกระบวนการรักษาผิวหน้า ที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องสีผิวไม่สม่ำเสมอ ฝ้า กระ รอยสิว จุดด่างดำต่างๆ ฉีดสารจำพวกวิตามิน แร่ธาตุ แอนติออกซิเดนท์ คอลลาเจน และสารบำรุงผิวตัวอื่นๆ เพื่อไปกระตุ้นเซลล์และฟื้นฟูผิวชั้นใน ซึ่งสารที่ฉีดจะแตกต่างกันไปตามแต่ละคลินิก พูดง่ายๆคือสูตรใครสูตรมันนั่นเอง

การฉีดเมโสเจ็บหรือไม่

ขึ้นอยู่กับความลึกในการฉีดยา เนื่องจากเข็มที่ใช้มีขนาดเล็กมาก และแทงลงไปประมาฯ 5-10 มิลลิเมตร บริเวณชั้นหนังกำพร้าจะรู้สึกเหมือนผิวหนังโดนสะกิด แต่ถ้าลึกลงกว่านั้นระดับความเจ็บจะเพิ่มขึ้น จึงต้องมีการทายาชาหรือประคบน้ำแข็งร่วม ใช้ระยะเวลาในการทำ 10-15 นาที หลังจากการทำผิวหน้าอาจแดงและรู้สึกแสบร้อน ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายในเวลา 10- 30 นาที

หลังจากทำเสร็จแล้วใบหน้าจะมีรอยแดงหรืออาจมีตุ่มขึ้นมา ตามแต่สภาพผิวแต่ละคน และจะหายไปเองภายใน 1-3 วัน ระหว่างนี้ห้ามโดนแสงแดดเด็ดขาด หลีกเลี่ยงการล้างหน้า 4-6 ชั่วโมงหลังทำเสร็จ หลังจากนั้นสามารถทาครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ และต้องรักษาความสะอาดของผิวหน้าเป็นพิเศษ

ทำแล้วหน้าใสจริงหรือ

วงการแพทย์ผิวหนังต่างประเทศยังมีข้อถกเถียงถึงผลลัพธ์ที่ได้ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากองค์กรอาหารและยา (US FDA)ในเชิงการรักษา แต่ไม่ได้หมายความว่าการฉีดเมโสเป็นสิ่งที่ร้ายแรงขนาดนั้น หากได้รับการรักษาจากคลินิกที่ได้มาตรฐานมีความน่าเชื่อถือและกระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ห้ามฉีดด้วยตัวเองหรือบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์หรือเรียกง่ายๆว่าหมอเถื่อนนั่นเอง ที่สำคัญคือสารที่ใช้ฉีดต้องไม่เป็นสารอันตราย ส่วนผสมที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการทำเมโสหน้าใสได้แก่ คาเฟอีน, กรดไฮยาลูโรนิก, Coenzyme Q10, แอลคาร์นิทีน และวิตามินหลายชนิด

ในส่วนของประโยชน์หลักๆจากการฉีดเมโสคือช่วยในเรื่องของการปรับผิวหน้าให้ดูกระจ่างใส ฟื้นฟูผิวโดยรวม ลดความเข้มของฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสิว ลดการเกิดสิวใหม่ เพิ่มความยืดหยุ่นและกระชับรูขุมขน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น

มีข้อควรระวังอะไรบ้าง

อย่างที่ทราบกันดีว่า การดูแลผิวหน้าที่มีขั้นตอนที่ไม่สามารถทำได้เอง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้เข็ม ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หากผู้ทำไม่มีความชำนาญ อย่างแรกเลยคือผิวหน้าได้รับผลกระทบโดยตรง อาจเกิดรอยแผลเป็นบนใบหน้า เกิดการอักเสบของผิว เนื่องจากผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรีย รวมไปถึงสุขอนามัยส่วนบุคคลอันเนื่องมาจากการใช้เข็มร่วมกับผู้อื่นในกรณีที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์โดยตรง ซึ่งเสี่ยงต่อการติดโรคร้ายแรงได้

ใครบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดเมโส

การฉีดเมโสไม่สามารถทำได้กับทุกคน แม้เป็นเทคนิคที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่สุขภาพของแต่ละคนแตกต่างกัน อย่างแรกเลยคือปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินการรักษา พร้อมกับแจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัวให้ทราบ เช่น

  • สตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง
  • ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ
  • ผู้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สวย หากวิธีการนี้ไม่สามารถทำได้ การพูดคุยกับแพทย์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการที่จะหาทางออกร่วมกัน

เมโสหน้าใสถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลผิวหน้า เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก หลังจากรักษาสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติไม่ต้องพักฟื้น ทำให้เป็นที่นิยมของบรรดาสาวๆทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่หลายคนหันมาดูแลตัวเองกันตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างไรนั้นเรื่องของความปลอดภัยควรคำนึงเป็นอันดับแรก รวมถึงการพูดคุยขอคำแนะนำจากแพทย์ในการช่วยประกอบการตัดสินใจสำหรับเข้ารับการรักษาได้ ไหนๆจะสวยทั้งที ต้องเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง เพราะเรื่องความสวยขึ้นอยู่กับความพอใจส่วนบุคคล และผู้หญิงทุกคนก็สวยได้เช่นกัน

Leave a Reply