เมโสสลายไขมัน เขาทำกันอย่างไร

เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก ใครที่มีแก้มป่องมักดูน่ารักในสายตาของคนทั่วไป เมื่อก้าวพ้นช่วงเวลาแห่งความน่าทะนุถนอม อายุที่มากขึ้น บวกกับการรับประทานอาหารที่มากเกินไปโดยลืมไปว่าร่างกายมีการเผาผลาญที่ไม่เหมือนช่วงวัยสาว ส่งผลให้รูปร่างเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะใครที่มีแก้มอยู่แล้วก็จะยิ่งดูแก้มใหญ่ขึ้นไปอีก ผู้หญิงหลายคนต่างสรรหาวิธีที่จะช่วยสลายไขมันที่เห็นผลรวดเร็วทันใจ การฉีดเมโสจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ที่แน่ๆคือไม่ต้องผ่าตัด มีขั้นตอนการทำและข้อควรปฏิบัติอย่างไรนั้นลองมาดูกัน

ทำความรู้จักกับเมโสสลายไขมันกันสักหน่อย

คำว่าเมโส เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้าง การฉีดสลายไขมันส่วนเกินก็คือ Meso Fat หรือ Meso Lipolysis นั่นเอง เป็นรูปแบบหนึ่งของการดูแลใบหน้าและรูปร่าง วิธีการคือแพทย์จะทำการฉีดสารเคมีที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสำหรับใช้ในการสลายไขมัน เช่น Phosphatidylcholine, Deoxycholate, Dexpanthenol , L-Carnitine, Isoproterenol นอกจากนี้อาจมีการเติมสารอื่นๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น สารสกัดจากพืช, Vitamin B complex,  Amino acid,  เอ็นไซม์, ฮอร์โมน หรือยาบางชนิดเข้าไปในปริมาณเล็กน้อยอีกด้วย ใช้เทคนิคเมโสเธอราพี (Mesotherapy) โดยฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนังตรงบริเวณที่ต้องการสลายไขมัน เป็นวิธีที่ให้ผลอย่างตรงจุด และไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อในส่วนอื่นๆ

กลไกการทำงานคือ สารเหล่านี้จะไปทำให้ผนังไขมันแตกตัวออก เมื่อไขมันที่จับตัวเป็นก้อนอยู่เกิดการสลายออก และกลายเป็นไขมันเหลว ส่วนสารที่ฉีดเข้าไปสามารถสลายออกจากร่างกายได้ เนื่องจากเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ  ซึ่งจะถูกขับออกจากร่างกายด้วยกระบวนการทางธรรมชาติ ปะปนออกมากับของเสียทุกช่องทาง ไม่ว่าจะทางหนักหรือเบา และทางเหงื่อ

ขั้นตอนการฉีด Meso Fat

ปริมาณสารที่ฉีดขึ้นอยู่กับบุคคล โดยที่แพทย์จะเป็นผู้กำหนดว่าต้องใช้ปริมาณเท่าไหร่ ซึ่งจะมีการฉีดซ้ำทุกๆ 5-7 วัน หลังจากฉีดสลายไขมันเข้าที่บริเวณผิวหนังในครั้งแรก ไขมันจะเริ่มหดตัวหรือลดจำนวนเซลล์ลงประมาณ 10-20%  และจะสลายไป 50-80% หลังจากที่ทำจบคอร์ส

ตำแหน่งที่นิยมทำ Meso Fat

เป็นการปรับแต่งเฉพาะจุด ส่วนใหญ่นิยมทำบริเวณแก้มเพื่อให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลง หรือสำหรับบางคนที่มีการลดน้ำหนักจนได้รูปร่างเป็นที่พอใจ แต่ติดปัญหาตรงที่แก้มยังดูตุ้ยนุ้ยอยู่ไม่ลดลงตามส่วนอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งอื่นบนใบหน้า รวมไปถึงอวัยวะบางส่วนเพื่อให้สมส่วนดูดี เช่น

  • ลดไขมันที่คาง ที่ทำให้ดูเหมือนมีคางสองชั้น
  • ลดไขมันที่จมูกให้เล็กลง
  • ลดไขมันที่หนังตาบนที่ดูหย่อนคล้อย
  • ลดไขมันต้นแขน ต้นขา
  • ลดไขมันหน้าท้อง
  • ลดไขมันที่น่อง

ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

หลังการทำ Meso Fat อาจมีอาการบวมบริเวณที่ฉีด หากโดนเส้นเลือดจะมีรอยฟกช้ำเกิดขึ้น แต่อาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ นอกจากนี้อาจเกิดการแพ้บริเวณที่ฉีดสาร ควรทำการปรึกษาแพทย์ และเปิดเผยข้อมูลสุขภาพ เช่น ประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

ใครที่ไม่ควรทำเมโสสลายไขมัน

แม้จะทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญก็ตาม แต่การทำเมโสเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล จึงไม่เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่จะทำ Meso Fat ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
  • ไม่เหมาะกับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลิน
  • ผู้ที่ใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด มีภาวะลิ่มเลือด
  • ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคหัวใจ
  • โรคระบบหลอดเลือดผิดปกติ เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน

การดูแลตัวเองหลังจากฉีดเมโส

แม้ยังไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าประสิทธิภาพของการฉีดเมโสในแต่ละครั้งจะอยู่ได้นานแค่ไหน ส่วนใหญ่คือประมาณ 5-6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการดูแลตัวเองของแต่ละคนด้วย ข้อควรปฏิบัติคือ

  • ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ใครๆต่างก็รู้ว่าการดื่มน้ำมีประโยชน์แค่ไหน สำหรับผู้ที่ทำ Meso Fat ไขมันจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ เมื่อดื่มน้ำเยอะๆเป็นการช่วยขับให้ไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดียิ่งขึ้น
  • อาการบวมที่เกิดขึ้น จะค่อยๆจางหายไปเอง หลีกเลี่ยงการนวดตัว อบซาวน่า และการทำทรีทเมนต์ทุกชนิด หลังจากทำประมาณ 1 สัปดาห์
  • งดการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ในช่วงแรกควรมีการออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินเร็ว โยคะ พีลาทิส แอโรบิคที่ไม่หักโหมจนเกินไป สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง หรือเน้นให้มีการเคลื่อนไหวของร่างกายอยู่เสมอ เพื่อเป็นการกำจัดไขมันส่วนเกินในร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น และช่วยลดการสะสมของไขมันใหม่ที่เกิดขึ้น
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ของทอด ของหวาน งดแป้งและน้ำตาล อาหารรสเค็มจัด อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปต่างๆ เน้นอาหารที่มีประโยชน์ มีไฟเบอร์สูง

การทำเมโสสลายไขมัน มีข้อดีตรงที่แก้ปัญหาได้ตรงจุด ไม่ต้องพักฟื้นนาน นอกจากการเลือกสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือแล้ว การดูแลตัวเองในเรื่องของอาหารและการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยลดไขมันที่สะสมตามร่างกาย ไหนๆก็ทำแล้วอย่าลืมว่าวัตถุประสงค์คือการกำจัดไขมันส่วนเกินออกไป ดังนั้นการไม่นำเข้าใหม่ถือเป็นการดีที่สุด

Leave a Reply