ร้อยไหมมีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร ?

การร้อยไหม ถือเป็นหนึ่งนวัตกรรมความงามที่ใช้แก้ปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย เส้นไหมที่ร้อยเข้าไปในผิวหนังจะช่วยพยุง ยกกระชับได้ทั้งบริเวณใบหน้าและลำคอ มีหน้าที่เข้าไปกระตุ้นให้ผิวสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาทดแทน ผลที่ได้เป็นเพียงชั่วคราว มีอายุการใช้งานเพียงไม่กี่ปี และประเภทของไหมที่ใช้มีหลายชนิด ข้อแตกต่างเป็นอย่างไร มาทำความเข้าใจกันสักนิดก่อนตัดสินใจใช้เทคนิคนี้

ประเภทของไหม แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดหลัก คือ

1.ไหมที่ไม่ละลาย : ทำจากพลาสติก หรือโลหะ

  • ไหมพลาสติกประเภท พอลิโพรไพลีน (Polypropylene)

ไหมชนิดนี้เป็นไหมที่ไม่ละลาย เป็นไหมเทียมที่แพทย์ใช้ทำการเย็บแผล ถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายก้างปลา เพื่อดึงรั้งมัดกล้ามเนื้อบนใบหน้าให้กระชับ ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว เนื่องจากมีผลข้างเคียงหลายประการ เช่น เกิดการอักเสบบริเวณปมไหม เมื่อใช้ไปสักระยะตัวก้างปลามักจะหัก ทำให้ผิวหน้ากลับมาหย่อนคล้อยลงได้อีก หรือ เส้นไหมแทงออกมาจากผิวหน้า ต้องอาศัยแพทย์ที่เชี่ยวชาญทำการผ่าตัดเอาออก

  • ไหมทองคำ (Gold Thread)

เป็นการนำไหมที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ 99.99% ด้วยความเชื่อที่ว่าทองคำช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้เต่งตึง ช่วยชะลออายุผิว และยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ขนาดที่นำมาใช้เล็กเท่าเส้นผม ร้อยเป็นโครงตาข่ายใต้ผิวหนัง จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พบว่าทองคำบริสุทธิ์ไม่มีปฏิกิริยากับสารเคมีใดๆต่อเซลล์ของร่างกาย แต่การร้อยไหมทองก็มีข้อจำกัด เช่น มีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับไหมชนิดอื่น ใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผล ไม่ทนต่อความร้อน ผิวที่ผ่านการร้อยไหมชนิดนี้ไม่สามารถทำเลเซอร์หรือ ทรีทเม้นท์ผิวหน้าที่ต้องสัมผัสกับความร้อน เพราะอาจเกิดการบิดเบี้ยวของรูปหน้า และในบางรายอาจเกิดอาการแพ้ได้

2.ไหมละลาย : เป็นไหมสังเคราะห์

  • ไหม PDO (Polydioxanone)

มีต้นกำเนิดจากประเทศเกาหลี เส้นไหมสามารถละลายหายไปเอง ภายในระยะเวลา 6-8 เดือน แต่ช่วยกระชับผิวได้ 2-3 ปี เป็นไหมที่ใช้ในการเย็บกล้ามเนื้อหัวใจ และหลอดเลือด มีโอกาสแพ้น้อยมาก การร้อยไหมชนิดนี้ ราคาจะถูก หลังจากร้อยไหมเสร็จ ไม่ต้องพักฟื้นสามารถไปทำงานได้เลย แต่อาจมีรอยช้ำให้เห็นบ้าง ไหม PDO แบ่งย่อยได้เป็น 3 ชนิด คือ

  • เส้นไหมเรียบ (Mono threads)

ส่วนใหญ่ใช้ร้อยบริเวณคอ หน้าผาก และใต้ตา จะสอดไหมในระนาบแนวความลึกของชั้นหนังแท้ มักใช้เส้นไหมขนาดความยาวตั้งแต่ 30-60 มิลลิเมตร จำนวนตั้งแต่ 20 – 100 เส้นสอดเข้าไปในผิวหนัง เส้นไหมชนิดนี้จะช่วยให้ผิวหนังเต่งตึงแต่ไม่ได้ช่วยยกชั้นผิวหนัง

  • เส้นไหมเกลียว (Screw threads)

เป็นเส้นไหมเส้นเดียวหรือสองเส้นเกลียวเข้าด้วยกัน เส้นไหมชนิดนี้ช่วยเพิ่มปริมาตรบริเวณผิวหนังที่ยุบตัวหรือเป็นแอ่ง เส้นไหมเกลียวจะให้ผลแข็งแรงกว่าไหมเส้นเรียบ เหมาะกับการยกชั้นผิวหนังที่หย่อนยาน

  • เส้นไหมมีเงี่ยง (Cog threads)

ลักษณะเส้นไหมมีเงี่ยงคล้ายตะขอตกปลาตลอดเส้นไหม เทคนิคการร้อยจะสอดไหมในความลึกระดับชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำหน้าที่คล้ายโครงสร้างที่จะช่วยยกเนื้อเยื่อหรือผิวหนังที่หย่อนยาน กระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่รอบเส้นไหมและบริเวณเงี่ยง การร้อยไหมชนิดนี้ใช้จำนวนแค่ 2-10 เส้น เหมาะกับการยกกระชับบริเวณคาง ปรับรูปหน้าให้เรียว

  • ไหม PGA (Polyglycolic Acid)

ที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือ ไหมกรวย (Silhouette soft) เส้นไหมประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วนได้แก่ ตัวเส้นไหมที่มัดเป็นปม และพลาสติกทรงกรวยที่อยู่ระหว่างปมของเส้นไหม ระยะเวลาที่ร่างกายจะค่อยๆกำจัดออกจนหมด คือประมาณ 8-10 เดือน เทคนิคการร้อยใกล้เคียงกับไหมชนิดมีเงี่ยง คือ ร้อยในชั้นไขมันและผิวหนังชั้นลึก โดยใช้ตัวโคนเป็นตัวพยุงผิวและชั้นไขมันแทน จึงทำให้ผิวหน้ากระชับได้รูปเห็นผลได้ชัดเจน มักใช้จำนวนเส้นไหม 2-8 เส้น ขึ้นกับบริเวณที่ต้องการยกกระชับ เนื่องจากตัวโคนละลายช้าในคนไข้บางรายที่มีผิวบางอาจคลำเจอตัวโคนได้ในผิว

ไหมแต่ละชนิดมีข้อดี และใช้เทคนิคในการร้อยที่ต่างกัน ทั้งนี้ต้องอาศัยทักษะความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ จึงควรเลือกทำในคลินิกเสริมความงามหรือโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และป้องกันการติดเชื้อจากแผลได้

 

Leave a Reply