เลเซอร์รักษาฝ้า ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับกำจัดฝ้าจริงหรือ

หลายคนมักจะคิดว่าเป็นสิวดีกว่าเป็นฝ้า อย่างน้อยการรักษาทำได้ง่ายและเห็นผลที่ดีกว่า แต่จริงๆแล้วผิวหน้าที่ไม่ต้องเจอกับปัญหาอะไรเลยนั้นดีที่สุด โดยเฉพาะฝ้าถือว่าเป็นเรื่องที่สร้างความหนักใจอยู่ไม่น้อย รอยสีน้ำตาลเข้มเป็นปื้นไปจนถึงสีดำทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ จนขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน และที่แย่ไปกว่านั้นคือสำหรับบางคนกว่าจะรักษาให้หายต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน การใช้เลเซอร์เป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้รักษาฝ้า จะเห็นผลมากน้อยแค่ไหน ดีที่สุดหรือไม่ มาหาคำตอบกัน

สาเหตุการเกิดฝ้า

ฝ้า คือ ความผิดปกติของเม็ดสีรูปแบบหนึ่ง มักเกิดขึ้นบนใบหน้าและบริเวณที่ผิวถูกทำลายโดยแสงแดด เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก  การเกิดฝ้ามีหลายปัจจัย ระดับความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล สาเหตุจาก

  • แสงแดดรวมถึงรังสี UVA และ UVB : สาเหตุหลักของการเกิดฝ้า เนื่องจากผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดดจนเกิดปัญหาสะสมมาอย่างยาวนาน จนเกิดเป็นฝ้าที่รักษาให้หายขาดยาก
  • ฮอร์โมนเพศ : พบว่าผู้หญิงมีโอกาสเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชาย ภาวะตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน การทานยาคุมกำเนิด ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้น
  • ยาบางชนิด : เช่น ยากันชัก ยากลุ่มไฮโดรควิโนน
  • ส่วนผสมในเครื่องสำอาง : เมื่อเจอกับความร้อนจากแสงแดดเกิดปฏิกิริยาที่กระตุ้นให้ผิวหนังสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติได้ และการระคายเคืองต่อผิวจนเกิดการอักเสบที่นำไปสู่การเกิดฝ้า

ฝ้ามีกี่ชนิด

ตามหลักการแล้วแบ่งเป็น 3 ชนิด

  • ฝ้าตื้น : มีสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงเข้มตามระดับความรุนแรง รักษาให้จางลงง่ายสุดเพราะอยู่บนผิวชั้นนอก
  • ฝ้าลึก : มีสีน้ำตาลไปจนถึงเทา เห็นขอบเขตไม่ชัดเจนมักกลืนไปกับผิวหนังปกติรอบข้าง สร้างเม็ดสีผิดปกติในชั้นหนังแท้ การรักษาด้วยยาหรือเลเซอร์ยังเข้าถึงได้ยาก
  • ฝ้าผสม : มีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกเกิดขึ้นบนใบหน้า

นอกจากนั้นยังมี

  • ฝ้าเลือด : เห็นเป็นปื้นสีแดงเกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือด สาเหตุจากสัมผัสความร้อนเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง หรือใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ทำการรักษาค่อนข้างยาก
  • ฝ้าถาวร : เกิดจากการทายารักษาฝ้าที่มีส่วนผสมของ Hydroquinone เป็นระยะเวลานานจนเกิดผลข้างเคียง ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด

วิธีการรักษาฝ้ามีอะไรบ้าง

  • การผลัดเซลล์ผิว : โดยการใช้กรด AHA หรือ BHA ที่สกัดจากธรรมชาติ มากระตุ้นให้เซลล์ผิวชั้นนอกหลุดลอกออกไป วิธีนี้ใช้ได้ผลกับฝ้าชนิดตื้นเท่านั้น ข้อดีคือทำให้สีผิวสม่ำเสมอ รอยดำจางลง เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน แต่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองในบางราย และผิวที่บางลง จึงจำเป็นต้องเลี่ยงแสงแดด
  • การฉีดยา : ยาที่ใช้ฉีดเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ และวิตามินต่างๆ โดยจะทำการฉีดเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นฝ้า เพื่อยับยั้งการทำงานของเมลานิน(เม็ดสีผิว)ที่ผิดปกติ และกระตุ้นการฟื้นฟูเซลล์จากภายในส่งผลให้ฝ้าจางลง แต่ยังมีความเสี่ยงหากผู้ที่รับการรักษามีอาการแพ้ยา
  • การรักษาด้วยยาในรูปแบบครีม : เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากมีขายทั่วไปหาซื้อได้ง่าย ค่าใช้จ่ายถูกกว่าวิธีอื่น ตัวครีมประกอบไปด้วยส่วนผสมของไวเทนนิ่งต่างๆ เช่น Arbutin, Salicylic acid, Kojic acid, Niacinamide, Azeleic acid, Vitamin C และ Hydroquinone ซึ่งอย่างหลังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ มีประสิทธิภาพในการทำให้ฝ้าจางลง แต่สารบางชนิดเมื่อใช้ไปนานๆในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้ผิวระคายเคืองไวต่อแดด ทำให้เป็นฝ้าหนักขึ้นกว่าเดิมได้ รวมถึงการใช้ครีมกลุ่มวิตามินเอ เช่น Retinoic acid, Retinol ที่ช่วยรักษาและป้องกันการเกิดฝ้าได้อีกด้วย

การใช้เลเซอร์รักษาฝ้า ผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไร

เลเซอร์ที่ใช้รักษาฝ้ามีหลากหลายชนิด เป็นการทำลายเซลล์เม็ดสีที่ทำงานผิดปกติด้วยความร้อน ช่วยปรับสภาพผิวหน้าให้ดูกระจ่างใสขึ้น แต่มีข้อเสียตรงที่วิธีการนี้ไม่ทำให้ฝ้าหายขาด อาจทำให้ผิวหน้าไหม้ในบางราย เกิดการอักเสบของผิว ส่งผลให้ผิวไวต่อแดดมากขึ้น หลังทำการรักษาผิวต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ แม้ให้ผลรวดเร็วแต่ไม่ถือเป็นทางเลือกแรกของการรักษาฝ้า เป็นการทำให้ฝ้าจางลงชั่วคราวและเป็นแค่การลดการทำงานของเซลล์เม็ดสี โดยที่เซลล์เม็ดสีที่ผิดปกติยังคงอยู่ ยังไม่มีเลเซอร์ตัวไหนที่มีประสิทธิภาพดีพอที่จะยับยั้งการสร้างเม็ดสีหรือทำให้เซลล์เหล่านี้ตายไป อาจกลายเป็นว่านอกจากฝ้าจะไม่หายแล้วยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงอีกด้วย

การดูแลผิวให้ห่างไกลฝ้า

  • ปกป้องผิวจากแสงแดดต้นเหตุสำคัญในการเกิดฝ้า โดยการหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งช่วงเวลาที่มีแดดจัด ทาครีมกันแดด SPF30 PA+++ ขึ้นไป และต้องป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB
  • ไม่ขัดหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีเม็ดสครับขนาดใหญ่ เกิดการเสียดสีบนผิวหนังเป็นการทำร้ายผิวที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เกิดฝ้าได้ง่ายขึ้นเมื่อเผชิญกับแสงแดด

การดูแลใบหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะไม่ใช่แค่ปัญหาฝ้าเท่านั้นแต่ยังมีเรื่องของสีผิวไม่สม่ำเสมอ ใบหน้าหมองคล้ำ กระ จุดด่างดำ ริ้วรอยเหี่ยวย่น ไปจนถึงมะเร็งผิวหนังที่เป็นอันตรายร้ายแรง ดังนั้นจึงควรใส่ใจดูแลและปกป้องผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มีผิวหน้าที่สวยสุขภาพดีได้อย่างยาวนาน

Leave a Reply